ประเทศที่มีระดับการคอร์รัปชั่นสูง มักจะมีผู้คนใช้ Cryptocurrencies มากขึ้น อิงจากการศึกษาล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่สำรวจผู้คนหลายพันคนใน 55 ประเทศ เมื่อประเทศเหล่านั้นมีการควบคุมเงินทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้การโอนเงินไปต่างประเทศอย่างเงียบ ๆ เป็นไปได้ยาก ก็จะทำให้มีผู้ใช้คริปโตฯ มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เขียน “Crypto, Corruption and Capital Controls: Cross-Country Correlations” ให้ข้อสรุปว่าสินทรัพย์ดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะใช้เพื่อเคลื่อนย้ายผลกำไร ซึ่งไม่สามารถหาหาได้จากต่างประเทศ พวกเขากล่าวว่าการค้นพบดังกล่าว ได้เพิ่มกรณีสำหรับกฎระเบียบระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎเกณฑ์ “Know Your Customer” (KYC) ที่จำเป็นต้องมีการระบุตัวตนของลูกค้าสำหรับอุตสาหกรรมการแลกเปลี่ยนคริปโต
ซึ่งประเด็นนี้อยู่ในข่าวที่ค่อนข้างใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลและเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้ง (ทางด้านคริปโตฯ) ให้เหตุผลว่าผู้มีอำนาจของรัสเซียที่สนับสนุนการรุกรานยูเครนของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ปูตินก็อาจหันไปใช้คริปโตฯ
โดยการชี้ไปที่คำเตือนจาก เครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินแห่งสหรัฐฯ (FinCEN) ซึ่งกล่าวว่าผู้มีอำนาจ “อาจพยายามใช้คริปโตฯ และเครื่องมือที่ไม่ระบุชื่อเพื่อหลบเลี่ยงการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และปกป้องทรัพย์สินของพวกเขาทั่วโลก” วุฒิสมาชิก Elizabeth Warren (D-Mass.) ผู้ซึ่งออกมาวิจารณ์คริปโตฯ อยู่บ่อยครั้ง ก็ได้ออกมาประกาศการร่างกฏหมายเพื่อที่จะรับมือกับการกระทำเช่นนั้นให้เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการธนาคารวุฒิสภาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม
แม้ว่าเธอได้รับการตอบรับอย่างมากจากผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่กล่าวว่า วิธีนี้ใช้ไม่ได้จริง และในหลายกรณี ก็มีความเป็นไปได้ที่จะซ่อนเงินจำนวนพันล้านดอลลาร์ที่กลุ่มผู้มีอำนาจต้องการจะเคลื่อนย้าย ประเด็นหลักของ Warren คือประเด็นที่เป็นหัวข้อโต้เถียงกันใหญ่ ก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครน
สิ่งที่ทำให้งานของนักวิจัยของ IMF แตกต่างไปก็คือ พวกเขาพยายามพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ หนึ่งในปัจจัยเหล่านี้คือ “สินทรัพย์ดิจิทัลมีแนวโน้มที่จะได้รับแรงฉุดลากในประเทศที่สกุลเงินท้องถิ่นไม่เคยเป็นแหล่งเก็บสินทรัพย์มูลค่าที่ปลอดภัยหรือไม่?” ซึ่งนั่นเป็นจุดสำคัญสำหรับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นสำหรับคริปโตฯ โดยพวกเขามักจะชี้ไปในตัวอย่างที่ประเทศเวเนซุเอลา ซึ่ง Bitcoin ได้รับความนิยม ด้วยเหตุจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรงทำให้สกุลเงินโบลิวาร์ไร้ค่าจนธนบัตรถูกทิ้งข้างถนน และอีกปัจจัยหนึ่งคือหน่วยงานทางด้านนี้ ก็ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นในการติดตามธุรกรรม Bitcoin ไปยังทั้งผู้ส่งและผู้รับซึ่งอาจจะใช้นามแฝงอีกด้วย
นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าการสืบสวนดังกล่าวต้องใช้แรงงานมาก และโดยทั่วไปต้องมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเพื่อเป็นกรณีศึกษา ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า ในขณะที่เงินสดสามารถสร้าง “การไม่เปิดเผยชื่อเต็มรูปแบบ และการเรียกเก็บเงินจำนวนมากได้รับการพิจารณาว่าเป็นเครื่องมือช่วยสำหรับอาชญากรรม และการหลีกเลี่ยงภาษี สินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบปัจจุบันของกลุ่มอาชญากรยังสามารถถูกเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ในปริมาณที่มากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายยิ่งขึ้น รวมถึงข้ามพรมแดนของประเทศได้”
นับว่าเป็นประเด็นที่น่าจับตามองสำหรับอัตราความนิยมคริปโตฯ ในประเทศที่มีการคอรัปชั่นสูง ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ มักจะมาจากการไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ของรัฐบาลโดยเฉพาะในประเทศที่มีการคอรัปชั่นทำให้ความเชื่อถือในหน่วยงานรัฐมีไม่สูงนัก จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะออกกฏระเบียบหรือร่างกฏหมายในด้านนี้ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายมากที่สุด
