หากได้ยินคำว่า “Mafia” (มาเฟีย) เราคงจะนึกถึงผู้ทรงอิทธิพลของแก๊งอันธพาลต่าง ๆ ที่เป็นขบวนการอาชญากรรมประเภทหนึ่ง แต่ไม่ใช่พวกเขาหล่านี้ที่เรากำลังจะพูดถึงครับ ซึ่งแก๊งมาเฟียนี้ คือ ผู้ทรงอิทธิพลแห่งเทคโนโลยี หรือเรียกว่าเป็น “จักพรรดิแห่งเทคโนโลยี” เลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่เขียนตำรา และจุดประกายให้กับสตาร์ทอัพทั่วโลก พวกเขาเหล่านี้อาจเป็นกลุ่มมาเฟียที่รวยที่สุดในโลก และสามารถชี้ชะตาโลกได้อย่างแท้จริง เพราะโลกของเราถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยพวกเขาถูกขนานามว่า “Paypal Mafia” หรือ “มาเฟียแห่ง Silicon Valley”
บทความนี้ เราจะพาทุกคนไปเปิดประวัติของ Paypal Mafia กลุ่มคนที่ก่อตั้ง Paypal และสลายตัวเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งโลกเทคโนโลยี มูลทรัพย์สินของแต่ละคนเรียกได้ว่า “รวยกว่าบางประเทศ”
- Paypal Mafia คืออะไร ?
- จุดกำเนิดของ Paypal
- ทำงานแบบ “เพื่อน” สู่ธุรกิจ “พันล้านดอลลาร์”
- “แกะดำ” ในหมู่ “Paypal Mafia”
- เมื่อถึงเวลาต้อง “แยกย้ายกันไปเติบโต
- เส้นทางหลังการแยกย้ายของ “Paypal Mafia”
———————————— 🐣 ————————————
Paypal Mafia คือ อะไร ?
ในยุค 2000 หลายคนคงคุ้นหูกับ Silicon Valley เป็นพื้นที่ทางตอนใต้ของ San Francisco ประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายบริษัท โดยกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีจะถูกขนานามว่า มาเฟียแห่ง Silicon Valley และด้วยที่กลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้บุกเบิก Paypal ธุรกิจ Online Paymaent ทั่วโลกจึงให้ฉายาพวกเขาว่า Paypal Mafia
Paypal Mafia คือ แก๊งหัวกะทิที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจ Online Payment อย่าง Paypal จนมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์
ถึงแม้ Paypal จะถูกขายต่อให้กับ eBay แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ และจุดเริ่มต้นขอพวกเขาที่มาจากคนไม่มีอะไรเลย ทำให้การร่วมตัวกันในครั้นี้กลยเป็นตำนาน คำว่า Mafia เหมือนจะดูเป็นบุคคลอันตราย แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้ก่ออาชญากรรมแต่อย่างใด มันเป็นเพียงการถ่ายรูปร่วมกัน เพื่อลงปกนิตยสาร Fortune เท่านั้น พวกเขาตั้งใจจัดท่าทางและการแต่งตัว เพื่อให้ดูน่าเกรงขามเหมือนแก๊งมาเฟียที่ทรงอิทธิพล
ย้อนรอย! จุดกำเนิดของ Paypal Mafia
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1998 Paypal ถือเป็นเทคโนโลยีของ Payment ที่ล้ำสมัย และผู้คนส่วนใหญ่ล้วนขาดไม่ถึงว่ามันจะมาถึงทุกวันนี้ได้ มันเริ่มมาจากชายหนุ่มที่ชื่อว่า Peter Thiel หลายคนอาจไม่คุ้นชินกับชื่อของเขาเท่าไร แต่หากคุณอยู่ในแวดวงของเทคโนโลยีแล้วจะทราบว่า Peter Thiel เป็นผู้ลงทุนคนแรกของ Facebook หรือ Meta ในปัจจุบัน ด้วยจำนวนเงิน 500,000 ดอลลาร์ แลกกับหุ้น 10.2% ของบริษัท เขาเป็นอดีตทนายความที่อยากริเริ่มทำสตาร์ทอัพ จนได้พบกับ Max Levchin ชาวยูเครน
” ผมพยายามทำธุรกิจที่สามารถผูกขาดได้ และเกิดกรรมสิทธิ์ในเทคโนโลยี ”
Peter Thiel จากหนังสือ Zero to One
พวกเขาทั้งคู่ได้ปิ๊งไอเดียเกี่ยวกับเทคโนโลยีการโอนเงินและชำระเงินผ่านทางออนไลน์ จาก Fieldlink ที่จำกัดการใช้เฉพาะผ่าน PDA (Personal Digital Assistants) มาสู่ Paypal ในเวลาต่อมา ซึ่งมีเจ้าตลาดในยุคนั้น คือ x.com ของ Elon Musk ที่ในปัจจุบันเรารู้จักเขาในนามของอัจฉริยะในคราบ Playboy
Paypal และ x.com ทำการแข่งขันกันจนสุดท้ายตัดสินใจร่วมลงทุนด้วยกันในปี 2000 และมันกลายเป็นจุดพลิกผลันของเทคโนโลยีทางการเงินครั้งใหญ่ เพราะ Paypal Mafia เหล่านี้ ช่วยให้ธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตฟื้นขึ้นได้อีกครั้งหลังวิกฤตเกิดวิกฤตฟองสบู่ dot-com นกอจากนี้ Paypal ยังมีผู้ใช้งานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม Paypal Mafia มีจำนวนมากกว่า 10 คน และมีพนักงานในบริษัทกว่า 220 คน ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งใหญ่นี้
ทำงานแบบ “เพื่อน” สู่ธุรกิจ “พันล้านดอลลาร์”
ความตั้งใจแรกในการก่อตั้ง Paypal ขึ้นมา คือ Peter Thiel ต้องการให้ที่ทำงานเป็นเหมือนบ้าน และความสัมพันธ์ของคนที่ทำงานต้องเป็นเหมือนเพื่อน นอกจากนี้ เขายังเคยให้สัมภาษณ์ว่า อยากทำงานกับคนที่สนิท และเป็นเพื่อนกันจริง ๆ โดยไม่ว่าธุรกิจจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ หรือต้องจบลง แต่ความสัมพันธ์จะยังคงอยู่ตลอดไป
“Google เลือกจ้างคนที่จบปริญญาเอก แต่ PayPal เลือกจ้างคนที่เก่งและพร้อมจะเป็นเพื่อน”
Peter Thiel จากหนังสือ Zero to One
ดังนั้น Peter Thiel และ Max Levchin จึงจ้างเพียงแค่คนใกล้ตัวที่อยู่ในวงการเดียวกัน เช่น Keith Rabois, David O. Sacks, Reid Hoffman และ Ken Howery ซึ่งเป็นเพื่อนสถาบันเดียวกับ Thiel ที่สแตนฟอร์ด ซึ่งแต่ละรายที่จ้างมานั้นล้วนมีนิสัย Introvert แต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะทั้งสิ้น เขาเคยเปรียบเทียบการจ้างงานของ Google และ Paypal ไว้ว่า Google เลือกจ้างคนที่จบปริญญาเอก แต่ PayPal เลือกจ้างคนที่เก่งและพร้อมจะเป็นเพื่อน
แนวคิดการทำงานแบบเพื่อนของ Thiel ยังสะท้อนได้อีกว่า บางทีเขาอาจไม่ได้ต้องการจ้างเพื่อน แต่เขาต้องการจ้างคนที่พร้อมจะเป็นเพื่อนที่ดีให้แก่เขา ในทางกลับกัน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับระบบการคัดเลือกคนว่า พวกเขาจะสามารถเป็นผู้ประกอบการที่ดีได้อย่างไร
นอกจากนี้ Paypal Mafia มุ่งเน้นไปที่ “การทำงาน” อย่างแท้จริง โดยพวกเขาจะไม่เสียเวลานั่งประชุมเป็นชั่วโมง แต่จะทำการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ภายใน 3 นาทีว่าควรจะฟังเรื่องนี้ต่อหรือไม่ ระบบนี้ทำให้องค์กรทำงานค่อนข้างง่าย และไม่มีลำดับชั้นของตำแหน่งในบริษัท ซึ่งทุกคนจะรู้กันเองว่า Thiel คือ ผู้บริหารสูงสุด
“แกะดำ” ในหมู่ “Paypal Mafia”
อย่างที่ทราบกันดีว่า Elon Musk เขาแทบทำงานอยู่ตลอดเวลา และมันเกินกว่าที่ Paypal Mafia จะยอมรับความสุดโต่งนี้ได้ ซึ่งมุมมองการทำงานของพวกเขาแตกต่างกันแทบต่อไม่ติด ถึงแม้ Musk จะเป็นคนเก่ง และประสบความสำเร็จกับธุรกิจมาหลายอย่าง แต่เขาก็ไม่เหมาะที่จะทำนกับ Paypal ซึ่งจุดแตกหักเริ่มต้นขึ้นตอนที่ PayPal เปลี่ยนจากแพลทฟอร์ม Unix ไปเป็น Microsoft และ Musk ก็ถูกปลดจากตำแหน่ง CEO กลางอากาศ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Musk จะทำงานอยู่ใน Paypal ได้แค่ปีกว่า ๆ และมีเรื่องไม่ลงรอยกันกับ Thiel ในบางครั้ง แต่เขาก็กลับมาลงทุนในธุรกิจของเหล่า Paypal Mafia หลังจากแยกย้ายกันไปแล้วเรื่อย ๆ เช่น Room 9, Geni, Sequoia และ Clarium Capital
เมื่อถึงเวลาต้อง “แยกย้ายกันไปเติบโต“
เมื่อปี 2002 เหล่า Paypal Mafia สามารถผลักดันให้ Paypal เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ที่สุด และหลังจากนั้นไม่นาน eBay เว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่รู้จักกันดีในด้านการประมูล และการขายจากผู้บริโภคจนถึงผู้บริโภค กำลังต้องการช่องทางชำระเงินออนไลน์ (Online Payment) ซึ่ง Paypal ก็เป็น Payment อันดับหนึ่ง ณ ตอนนั้น จึงทำให้ eBay ตัดสินใจทำการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการในที่สุด
ช่วงเวลานั้นเหล่า Paypal Mafia คุยกันว่า หากพวกเขายังอยู่ทำงานที่ Paypal ต่อไป หลังจาก eBay ทำการเทกโอเวอร์บริษัทไปแล้ว คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร เพราะพวกเขาคงออกความคิดเห็นได้ไม่เต็มที่ หรือไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้แก่ผู้บริโภคได้อีกต่อไป จนในที่สุดเหล่า Paypal Mafia จึงตัดสินใจลาออก และแยกย้ายกันไปทำบริษัทต่าง ๆ ของตนเอง ด้วยเม็ดเงินที่ได้มาจาก eBay กว่า 1,500 ล้านดอลลาร์
เส้นทางหลังการแยกย้ายของ “Paypal Mafia”
การเข้าซื้อ Paypal ของ eBay ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความรวยของ Paypal Mafia จากใครที่รวยอยู่แล้วก็รวยขึ้นไปอีก อีกทั้งยังเป็นต้นทุนในการก่อตั้งบริษัทที่กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของเทคโนโลยี ณ ปัจจุบันอีกด้วย นอกจากนี้ สายสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนที่ยังคงอยู่ ทำให้ Conection ของ Paypal Mafia แตกแขนงออกไปอย่างรวดเร็ว และพวกเขาได้สร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลกมากมาย ด้วยการกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีต่าง ๆ
- Chad Hurley, Steve Chen และ Jawed Karim ผู้ก่อตั้ง Youtube ก่อนที่จะถูกเข้าซื้อด้วย Google มูลค่า 1,650 ล้านดอลลาร์
- Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX ติดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกอันดับ 2
- Jeremy Stoppelman ผู้ก่อตั้ง Yelp ที่มูลค่าการตลาดกว่า 5,260 ล้านดอลลาร์
- Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง Linkedin ที่มูลค่าการตลาดกว่า 20,400 ล้านดอลลาร์
- David Sacks ผู้ก่อตั้ง Yammer ก่อนที่จะถูกเข้าซื้อด้วย Microsoft มูลค่า 1,250 ล้านดอลลาร์
สรุป
Paypal Mafia บุคคลกลุ่มนี้ คือ จักพรรดิแห่งเทคโนโลยี และจุดประกายให้กับสตาร์ทอัพทั่วโลก พวกเขาเริ่มจากการเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความฝันว่าจะสามารถผูกขาดธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ จนทำให้เกิดการก่อตั้งบริษัท Paypal ขึ้นมา โดยบริษัททำงานกันเหมือนเพื่อน และไม่มีชนชั้นของตำแหน่งเข้ามาเกี่ยวข้อง จนพวกเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้ การเทคโอเวอร์บริษัท Paypal มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2002 ที่สำคัญธุรกิจ Online Payment อย่าง Paypal ที่ Paypal Mafia สร้างขึ้นนั้น ช่วยให้ธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหลังเกิดวิกฤตฟองสบู่ บทเรียนจากเรื่องราวเหล่านี้สอนให้รู้ว่า ทุกคนสามารถทำอะไรที่คนทั่วโลกคาดไม่ถึงได้ เพียงแค่คุณพยายามทำมันให้ดีที่สุด