ปัจจุบันผู้คนหันมาให้ความสนใจกับการลงทุนในตลาดการเงินจำนวนมาก ซึ่งมีหลายสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรของคุณ คือ ความรู้และกลยุทธ์ที่เลือกใช้ในการเทรด โดยในโปรแกรมเทรดต่าง ๆ จะมีเครื่องมือในการวิเคราะห์กราฟราคา เพื่อหาจุดเข้าซื้อ-ขาย หรือที่รู้จักกันในนาม อินดิเคเตอร์ (Indicator) โดยแต่ละอินดิเคเตอร์มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
แต่รู้หรือไม่? มี Indicator ตัวหนึ่งที่อยู่คู่กับการเทรดมาอย่างยาวนาน เรียกได้ว่าเป็น อินดิเคเตอร์เก่าแต่ยังเก๋าอยู่ นั่นก็คือ RSI Indicator นอกจากนี้ RSI คือ หนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่ ChatGPT แนะนำ เนื่องจากบอกสัญญาณแนวโน้มราคาที่แม่นยำ และนักเทรดส่วนใหญ่นิยมใช้มากที่สุด
ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้กับ RSI Indicator ว่า RSI คือ อะไร? RSI ย่อมาจาก อะไร? RSI ตั้งค่า เท่าไร? RSI มีวิธีการใช้ยังไง? เรียกได้ว่า หากคุณอยากใช้ RSI Indicator ให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดต้องห้ามพลาด พร้อม “สูตรลับการทำกำไรจาก RSI Indicator ที่คุณต้องรู้“
- RSI คือ อะไร ? (RSI Indicator)
- ข้อดีของ RSI คือ อะไร ?
- RSI Indicator คำนวณยังไง ?
- RSI ใช้ยังไง ?
- สูตรลับ! การทำกำไรจาก RSI Indicator
- ความแตกต่างระหว่าง RSI กับ MACD
——————————🐣——————————-
RSI คือ อะไร ? (RSI Indicator)
RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index ถูกพัฒนาขึ้นในปี 2521 โดย J Welles Wilder ซึ่ง RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของกราฟราคา หรือทิศทางแนวโน้มของราคา (Trend) ประเภท Oscillator โดยมีพื้นฐานมาจากโมเมนตัม เช่นเดียวกับ MACD Indicator
นอกจากนี้ RSI คือ Indicator ที่นิยมอย่างมากในตลาด Forex โดยเฉพาะการเทรดทอง ส่งผลให้นักเทรดต่างประเทศมักจะเรียกมันว่า RSI Gold หรือ RSI Forex เนื่องจากสามารถบ่งบอกสัญญาณของแนวโน้มได้อย่างแม่นยำ โดยวิเคราะห์ควบคู่ไปกับ Price Pattern เนื่องจากราคาสามารถสะท้อนทุกอย่างในตลาด จนถูกขนานนามว่า RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่ทำให้ “Trend is your friend”
📌 สรุปง่าย ๆ
- RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ดูว่า ตลาดกำลังเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
- RSI สามารถดู Overbought และ Oversold ได้ โดยจะแสดงเป็นกราฟเส้นที่สามารถอ่านค่าได้ตั้งแต่ 0–100
- RSI คือ Indicator ที่นิยมอย่างมากในตลาด Forex โดยเฉพาะการเทรดทอง
- การตัดสินใจเปิดออเดอร์ ไม่ควรใช้แค่ RSI Indicator ในการวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะเจอสัญญาณกลับตัวหลอกได้
Overbought และ Oversold คืออะไร ?
ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) คือ การที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงอย่างรุนแรงจากแรงซื้อ ส่งผลใหนักลงทุนเริ่มขายออกเพื่อทำกำไร บ่งชี้ว่า ราคาอาจกลับตัวลงได้ แม้จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
ภาวะขายมากเกินไป (Oversold)
ภาวะขายมากเกินไป (Oversold) คือ การที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากแรงขาย ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์น่าดึงดูดแก่นักลงทุน จึงมักมีแรงซื้อเข้ามา บ่งชี้ว่า ราคาอาจกลับตัวขึ้นได้ แม้จะอยู่ในแนวโน้มขาลง
ข้อดีของ RSI คือ อะไร ?
- RSI คือ Indicator ที่สามารถบอกภาวะที่มีการซื้อมากเกินไป (Overbought) และขายมากเกินไป (Oversold)
- RSI Indicator ส่งสัญญาณเตือนการกลับทิศทางจากการเหวี่ยงที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรือการสวิงที่ผิดพลาด (Failure Swing)
- RSI Indicator สามารถส่งสัญญาณเตือนการกลับตัวของราคา หากราคาสร้างความขัดแย้งกับ RSI Indicator (Divergence)
- RSI คือ Indicator ที่ให้สัญญาณการกลับทิศทางของราคาที่กำลังเกิดขึ้นว่าจะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่ (Positive & Negative Reversal)
RSI Indicator คำนวณยังไง ?
สูตรคำนวณ RSI คือ การวัดอัตราส่วนของราคาเวลาเป็น “ขาขึ้น” เปรียบเทียบกับราคาตอนเป็น “ขาลง” ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยแสดงผลออกมาเป็นดัชนี (Index) 0-100 หรือพูดง่าย ๆ ว่า ระหว่างแนวโน้มขาขึ้นและขาลงนั้น แนวโน้มใดแข็งแกร่งกว่ากัน โดยมีสูตรดังนี้:
- RS คือ Average Gain/Average Loss
- Average Gain คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนที่เป็นบวกย้อนหลัง 14 แท่งเทียน
- Average Loss คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนที่เป็นลบย้อนหลัง 14 แท่งเทียน
*หมายเหตุ: ช่วง 14 แท่งเทียน เป็นช่วงนักลงทุนส่วนใหญ่นิยมใช้ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความถนัดของแต่ละบุคคล
ตัวอย่างเช่น
ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้น ณ เวลาปิดสูงกว่าตอนเปิดตลาด (ปิดบวก) ทั้งหมด 7 วัน และมีผลตอบแทนเฉลี่ย 1% ส่วน 7 วันที่เหลือ มูลค่าตลาดหุ้น ณ เวลาปิดต่ำกว่าตอนเปิดตลาด (ปิดลบ) เฉลี่ยอยู่ที่ – 0.8%
RSI ใช้ยังไง ?
โดยทั่วไปนักเทรดมักใช้ RSI ในการดู Overbought และ Oversold ซึ่งจะมีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 70 และ 30 โดยถ้าหาก RSI Indicator อยู่ในระดับสูงกว่า 70 หมายความว่า ราคา ณ ตอนนั้น อยู่ในภาวะ “ซื้อมากเกินไป” (Overbought) ในทางกลับกัน หาก RSI Indicator อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 หมายความว่า ราคา ณ ตอนนั้น อยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป” (Oversold)
- RSI สูงกว่า 70 = ซื้อมากเกินไป (Overbought) แนะนำว่าออเดอร์ฝั่ง Sell จะมีความได้เปรียบ เนื่องจากราคาอาจกลับตัวลงได้ แม้จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- RSI ต่ำกว่า 30 = ขายมากเกินไป (Oversold) แนะนำว่าออเดอร์ฝั่ง Buy จะมีความได้เปรียบ เนื่องจากราคาอาจกลับตัวขึ้นได้ แม้จะอยู่ในแนวโน้มขาลง
สูตรลับ! การทำกำไรจาก RSI Indicator อื่น ๆ
RSI Indicator บอกสัญญาณ Breakout
RSI คือ อีกหนึ่งอินดิเคเตอร์ที่สามารถใช้บอกสัญญาณในการเข้าซื้อหรือขายระหว่างกราฟได้ดีในแนวโน้ม Sideway ซึ่งพิจารณาควบคู่กับ Price Pattern ของกราฟราคาจริง แนะนำว่า อาจเปิดออเดอร์ Buy หลังจากกราฟแท่งเทียนของราคาจริงปิดตัวพอดี
จะเห็นว่า กราฟแสดงช่วงที่ราคาจริง และ RSI Indicator มีแนวโน้ม Sideway โดยอยู่ในรูปแบบของ Price Patterm ประเภท Triple Bottom ซึ่งสามารถคาดการณ์แนวโน้มต่อไปในยากมาก ดังนั้น เราอาจตีเส้นแนวต้านบริเวณ RSI Indicator
- หากเส้น RSI ขึ้นทะลุระดับ 50 แสดงว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาขึ้น ในทางกลับกัน
- หากเส้น RSI อยู่ใต้ระดับ 50 แสดงว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลง
ซึ่งจากกราฟตัวอย่างข้างต้น เป็นกรณีที่ 1 ที่กราฟสามารถทะลุระดับ RSI 50 ไปได้ และเมื่อลงมาทดสอบระดับ RSI 50 อีกครั้ง ก็ไม่สามารถทะลุลงไปได้ นั่นหมายความว่า มีโอกาสสูงที่กราฟจะปรับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น
RSI คือ Indicator คอนเฟิร์มแนวโน้มการไปต่อของราคา
สำหรับนักเทรดมือใหม่ เมื่อราคาเริ่มรันเทรนด์ไปแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะเข้าซื้อช่วงใด อาจใช้ RSI Indicator ในการคอนเฟิร์มแนวโน้มการไปต่อของราคา หากคุณดูตัวอย่างตามภาพข้างล่างจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น
จะเห็นว่า กราฟแสดงราคาอยู่ในแนวโน้ม Sideway ซึ่งถ้าเราอยากทราบว่า แนวโน้มต่อไปคือแนวโน้มใด อาจใช้ RSI Indicator ในการคอนเฟิร์มแนวโน้ม โดยเมื่อสัญญาณ RSI มีแนวโน้มขาขึ้น แสดงว่า มีโอกาสสูงที่กราฟราคาจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเป็นขาขึ้นได้เช่นกัน
RSI Divergence สุดคลาสสิค
RSI คือ Indicator ที่สามารถบอก Divergence ได้ดีระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับ MACD โดย RSI Divergence จะมีอยู่ 2 กรณี ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Convergence ซึ่งรายละเอียดมีดังนี้:
- Bullish Divergence = ฝั่ง Buy มีความได้เปรียบ เพราะราคาอาจกลับตัวขึ้นได้ แม้จะอยู่ในแนวโน้มขาลง
- Bearish Divergence = ฝั่ง Sell มีความได้เปรียบ เพราะราคาอาจกลับตัวลงได้ แม้จะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
Divergence คืออะไร ?
Divergence คือ การที่ราคาเคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่ส่วนทางกับอินดิเคเตอร์ เหตุการณ์นี้เราจะเรียกว่า การเกิด Divergence ซึ่งอาจเป็นสัญญาณการกลับตัวของราคา
Bullish Divergence คืออะไร ?
Bullish Divergence คือ Divergence ขาขึ้น จะเกิดขึ้นเมื่อราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง ซึ่งอาจบ่งบอกสัญญาณว่า ราคามีแนวโน้มกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น “ควรเปิดออเดอร์ Buy”
Bearish Divergence คืออะไร ?
Bearish Divergence คือ Divergence ขาลง จะเกิดขึ้นเมื่อราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งอาจสัญญาณว่า ราคาอาจกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น “ควรเปิดออเดอร์ Sell“
ความแตกต่างระหว่าง MACD กับ RSI คือ อะไร?
- MACD ใช้ได้ดีในช่วงที่ราคากำลังเป็นเทรนด์ แต่ RSI สามารถบอกสัญญาณได้ดีในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway
- MACD จะหาจุดเข้าซื้อขายจากการตัดของเส้น MACD Line และ Signal Line แต่ RSI จะใช้ดูภาวะ Overbought และ Oversold เพื่อเป็นสัญญาณในการเข้าซื้อและขาย
- RSI และ MACD ควรใช้ร่วมกัน เพื่อยืนยันสัญญาณเข้าซื้อและขายให้แม่นยำมากขึ้น
——————————🐣——————————-
สรุป
RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index โดย RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา จากภาวะ Overbought และ Oversold เป็นหลัก แต่ RSI Indicator ก็สามารถใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มราคา หรือดู RSI Divergence ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม RSI ควรใช้ควบคู่กับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น เพื่อยืนยันสัญญาณการเข้าซื้อและขายให้แม่นยำมากขึ้น