Table of Contents
Table of Contents

Bollinger Bands คืออะไร? เทคนิคอ่านใจตลาดผ่านเส้นกราฟ 3 เส้น

Bollinger Bands คืออะไร ?

Bollinger Bands คือ อินดิเคเตอร์ที่เทรดเดอร์นิยมใช้ เนื่องจากเป็นอินดิเคเตอร์ประเภท Volatility Indicators ซึ่งช่วยวัดความผันผวนของราคาในตลาดการเงินได้เป็นอย่างดี แต่จริง ๆ แล้ว Bollinger Bands สามารถทำได้มากกว่านั้น โดยเทคนิคเฉพาะที่คุณไม่ควรพลาดในการใช้งาน Bollinger Bands แบบมืออาชีพ เราได้รวบรวมให้คุณได้ศึกษาเพิ่มเติมในบทความนี้ครับ

—————🐣—————

Bollinger Bands คืออะไร ?

Bollinger Bands คือ อินดิเคเตอร์หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคประเภท Volatility Indicators หรืออินดิเคเตอร์ที่ใช้เพื่อวัดความผันผวนของราคาสินทรัพย์ ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 โดย John Bollinger ซึ่งถูกคิดค้นและพัฒนาต่อยอดมาจากอินดิเคเตอร์ Moving Average โดย Bollinger Bands มีหลักการทำงานคือ การวัดความผันผวนของราคาผ่านการขยายและหดตัวของเส้นครับ

ส่วนประกอบของ Bollinger Bands 

ส่วนประกอบของ Bollinger Bands 

อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands ประกอบไปด้วยเส้นหลัก 3 เส้น ดังนี้

  • Upper Bands คือ เส้นขอบบนแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อใช้สำหรับบ่งบอกว่า ราคาเคลื่อนตัวขึ้นไปมากกว่าปกติหรือไม่
  • Middle Bands คือ เส้นกลางที่ใช้แสดงถึงแนวโน้มหลักของราคา
  • Lower Bands คือ เส้นขอบล่างแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อใช้สำหรับบ่งบอกว่า ราคาเคลื่อนตัวลงมามากกว่าปกติหรือไม่

สูตรคำนวณ Bollinger Bands คืออะไร?

เนื่องจากเส้นทั้งสามเส้น จะใช้เพื่อแสดงแนวโน้มปัจจุบันหรือความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นของราคา ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นขอบเขตแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาในอนาคตได้ โดยอาศัยการคำนวณจากค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของราคาสินทรัพย์ ซึ่งมีสูตรสำหรับการคำนวณเส้น Bollinger Bands ดังนี้

  • Upper Bands ใช้สูตร UB = μ + ( m × σ ) 
  • Middle Bands ใช้เส้น SMA ของราคาปิดในช่วงเวลาที่ตั้งค่าไว้
  • Lower Bands ใช้สูตร LB = μ − ( m × σ ) 

โดยที่ 

  • μ คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย (SMA)
  • m คือ ตัวคูณ (Multiplier) สำหรับค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ปกติใช้ค่าเท่ากับ 2
  • σ คือ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของราคาปิดในช่วงเวลาที่เลือก

ทำไมเทรดเดอร์ถึงนิยมใช้ Bollinger Bands

✅ อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands สามารถระบุความผันผวนของตลาดได้ง่าย
✅ ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นแนวโน้มหลักของราคาได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น
✅ ระบุจุดเข้า-ออกออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้เป็นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic Support and Resistance Levels)
✅ ใช้ระบุสภาวะการซื้อหรือการขายที่มากเกินไปในตลาด (Overbought & Oversold)
✅ สามารถระบุจุดกลับตัวของราคา ซึ่งมีส่วนช่วยในการวางแผนการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับอินดิเคเตอร์ Bollinger Bands มีหลักการใช้งานที่สำคัญ 3 ข้อ ดังนี้ครับ

  • การใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุความผันผวนของตลาด
  • การใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุแนวโน้มของตลาด
  • การใช้ Bollinger Bands แทนแนวรับ-แนวต้าน

การใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุความผันผวนของตลาด

การใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุความผันผวนของตลาด

เทรดเดอร์สามารถใช้งาน Bollinger Bands เพื่อระบุความผันผวนของตลาดผ่านการขยายตัวหรือหดตัวของเส้น 2 เส้น คือ เส้น Upper Bands และ Lower Bands โดยเราสามารถระบุความผันผวนได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • กรณีที่เส้นบน (Upper Bands) และเส้นล่าง (Lower Bands) ขยายตัวกว้าง หมายความว่า ตลาดอยู่ในภาวะความผันผวนสูง (High Volatility) และสามารถตีความได้ว่า
    • ราคาอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่น ตลาดกำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นแรงหรือขาลงแรง
    • มีโอกาสที่ตลาดจะกลับตัว (Reversal) ได้ในอนาคต กรณีราคาเคลื่อนที่ไปแตะเส้นบน (Upper Bands) หรือเส้นล่าง (Lower Bands) แต่ไม่สามารถทำ New High หรือ New Low ได้  
  • กรณีที่เส้นบน (Upper Bands) และเส้นล่าง (Lower Bands) หดตัวแคบเข้าหากัน หมายความว่า ตลาดอยู่ในภาวะความผันผวนต่ำ (Low Volatility) และสามารถตีความได้ว่า
    • ราคามีการเคลื่อนที่แบบ Sideways อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ราคาจะเกิดการ Breakout ได้ในอนาคต

การใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุแนวโน้มของตลาด

การใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุแนวโน้มของตลาด

Bollinger Bands สามารถระบุแนวโน้มของตลาดได้ ผ่านการสังเกตการเคลื่อนที่ระหว่างกราฟราคาและกราฟอินดิเคเตอร์ Bollinger Bands ดังนี้

  • กรณีที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างเส้น Middle Bands และ Upper Bands อย่างต่อเนื่อง สามารถตีความได้ว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrends)
  • กรณีที่ราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างเส้น Middle Bands และ Lower Bands อย่างต่อเนื่อง สามารถตีความได้ว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrends)
  • กรณีราคาเคลื่อนที่อยู่ระหว่างเส้นทั้ง 3 เส้นอย่างต่อเนื่อง สามารถตีความได้ว่า ตลาดกำลังเคลื่อนที่ในรูปแบบ Sideways

🐔 คำแนะนำจากทีมงาน Gotradehere : ทั้งนี้ เทรดเดอร์สามารถยืนยันแนวโน้มของตลาดผ่านการขยายตัวของเส้น Bollinger Bands ได้เช่นกัน หากเส้นยิ่งขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแสดงว่าราคาเคลื่อนไหวแรงและมีแนวโน้มชัดเจนครับ

การใช้ Bollinger Bands แทนแนวรับ-แนวต้าน

การใช้ Bollinger Bands แทนแนวรับ-แนวต้าน

อีกหนึ่งการใช้งานที่เทรดเดอร์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ คือ การใช้เส้น Bollinger Bands แทนเส้นแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิกครับ โดยมีวิธีการใช้งานง่าย ๆ ดังนี้

  • เส้นบน (Upper Bands) ใช้แทนเส้นแนวต้าน หากราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปแตะเส้นบนแล้ว แต่ไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวลงมาในอนาคต
  • เส้นล่าง (Lower Bands) ใช้แทนเส้นแนวรับ หากราคาเคลื่อนที่ลงไปแตะเส้นล่างแล้ว แต่ไม่สามารถทะลุลงไปได้ มีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวกลับขึ้นไปในอนาคต
  • เส้นกลาง (Middle Bands) สามารถเป็นได้ทั้งเส้นแนวรับ-แนวต้าน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น
    • กรณีตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrends) เส้น Middle Bands จะใช้แทนเส้นแนวรับชั่วคราว ซึ่งจะช่วยทดสอบระดับราคา หากราคาสามารถทะลุเส้นแนวรับได้ หมายความว่าราคามีแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
    • กรณีตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrends) เส้น Middle Bands จะใช้แทนเส้นแนวต้านชั่วคราว ซึ่งจะช่วยทดสอบระดับราคา หากราคาสามารถทะลุเส้นแนวต้านได้ หมายความว่าราคามีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง

🐔 คำแนะนำจากทีมงาน Gotradehere : แนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic Support and Resistance Levels) คือ แนวรับ-แนวต้านที่ปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด ซึ่งมีจุดเด่น คือ ใช้งานได้ดีในตลาดที่มีความผันผวนสูงและจับสัญญาณการกลับตัวได้รวดเร็ว แต่อาจจะไม่แข็งแรงเท่าแนวรับ-แนวต้านแบบคงที่ (Static Support/Resistance)

หมายเหตุ : Bollinger Bands ถูกออกแบบมาเพื่อวัดความผันผวนของราคาเป็นหลัก ไม่ใช่สำหรับระบุแนวรับ-แนวต้านโดยตรง การใช้เป็นแนวรับ-แนวต้าน เป็นเทคนิคที่เทรดเดอร์นำมาประยุกต์ใช้ ซึ่งอาจให้สัญญาณที่ผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง ดังนั้น ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น RSI หรือ Price Action เพื่อยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงครับ

นอกจากการใช้งานแบบเบื้องต้นแล้ว เรายังมีเทคนิคการใช้งานแบบขั้นสูงที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการเทรด โดยการใช้งาน Bollinger Bands Strategy ที่เทรดเดอร์ควรรู้ มีดังนี้

  • เทคนิค Bollinger Bounce และ Volume Confirmation
  • เทคนิค Bollinger Squeeze

แต่ก่อนที่เทรดเดอร์จะไปศึกษาเทคนิคดังกล่าว เทรดเดอร์ควรรู้วิธีสำหรับการเรียกใช้งานอินดิเคเตอร์ Bollinger Bands บนโปรแกรมเทรด ติดตามได้ในหัวข้อถัดไปครับ

—————🐣—————

วิธีเรียกใช้งาน Bollinger Bands บน TradingViews

วิธีเรียกใช้งาน Bollinger Bands บน TradingViews
  • ไปที่เว็บไซต์ TradingView แล้วเลือกที่เมนู “ซูเปอร์ชาร์ต” 
  • ไปที่เมนู “อินดิเคเตอร์” จากนั้นค้นหาอินดิเคเตอร์ Bollinger Bands
  • เลือกอินดิเคเตอร์ที่คุณต้องการและปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะกับตนเองมากที่สุด

วิธีเรียกใช้งาน Bollinger Bands บน MT5

วิธีเรียกใช้งาน Bollinger Bands บน MT5
  • เปิดโปรแกรม MetaTrader 5 หรือสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านเว็บไซต์ MetaTrader5.com 
  • ไปที่คำสั่ง Insert เลือกเมนู “Indicator” 
  • เลือกคำสั่ง Tend เลื่อนลงมาที่ “Bollinger Bands”
  • จากนั้นตั้งค่า Indicator ให้เรียบร้อยก่อนใช้งาน แล้วกด “OK”  

วิธีเรียกใช้งาน Bollinger Bands บน MT4

วิธีเรียกใช้งาน Bollinger Bands บน MT4
  • เปิดโปรแกรม MetaTrader 4 หรือสามารถดาวน์โหลดได้ผ่านเว็บไซต์ MetaTrader4.com 
  • ไปที่คำสั่ง Insert เลือกเมนู “Indicator” 
  • เลือกคำสั่ง Tend เลื่อนลงมาที่ “Bollinger Bands”
  • จากนั้นตั้งค่า Indicator ให้เรียบร้อยก่อนใช้งาน แล้วกด “OK” 

Bollinger Bounce คือ เทคนิคที่อาศัยการเด้งตัวของราคา เมื่อราคามีการเคลื่อนตัวไปแตะที่บริเวณเส้น Upper Bands หรือ Lower Bands แล้วเข้าออเดอร์ เมื่อราคามีการกลับตัว โดยเราจะอาศัยการใช้งาน Volume Confirmation (ยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย) เข้ามาช่วยยืนยันสัญญาณการกลับตัวครับ 

หลักการใช้งาน Bollinger Bounce

  • รอราคาสัมผัสเส้น Bollinger Bands
    • กรณีราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปสัมผัสเส้น Upper Bands มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวไปในทิศทางขาลง แนะนำให้เปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบกว่า แต่ควรยืนยันสัญญาณร่วมกับเทคนิคอื่น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
    • กรณีราคาเคลื่อนที่ลงไปสัมผัสเส้น Lower Bands มีโอกาสสูงที่ราคาจะดีดตัวกลับไปในทิศทางขาขึ้น แนะนำให้เปิดออเดอร์ Buy จะได้เปรียบกว่า แต่ควรยืนยันสัญญาณร่วมกับเทคนิคอื่น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
  • ตรวจสอบสัญญาณการกลับตัวด้วย Volume Confirmation
    • กรณี Volume ของแท่งเทียนสูง หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัว จากแรงสนับสนุนที่เข้ามาหนุนให้ราคากลับตัว
    • กรณี Volume ของแท่งเทียนต่ำ หมายความว่า มีโอกาสที่ราคาจะไม่กลับตัวหรืออาจเป็นสัญญาณหลอกได้
  • เปิดออเดอร์ตามสัญญาณ ทั้งนี้ ควรตรวจสอบสัญญาณการกลับตัวอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเข้าออเดอร์

เทคนิค Bollinger Bounce 

ตัวอย่าง : จากรูปจะเห็นว่า ราคามีการเคลื่อนตัวขึ้นไปแตะเส้น Upper Bands ถือเป็นสัญญาณการเด้งกลับของราคา จากนั้น หลังตรวจสอบ Volume พบว่า มีปริมาณการขายสูง (แท่ง Volume สูงกว่าปกติ) และแท่งเทียนมีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ บริเวณดังกล่าวเกิด Price Action รูปแบบ Shooting Star ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสเกิดการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง แนะนำให้เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบกว่า และแนะนำให้วาง SL เหนือจุดสูงสุดของแท่ง Shooting Star หรือเหนือจุด Swing High ล่าสุด เพื่อป้องกันความเสี่ยง

ข้อดีของเทคนิค Bollinger Bounce

  • ใช้งานง่าย ช่วยระบุจุดเข้า-ออกออเดอร์ได้ชัดเจน
  • ใช้งานได้ดีในตลาดรูปแบบ Sideways อีกทั้งยังใช้งานได้หลากหลาย Time Frame ไม่ว่าจะเป็นแบบระยะสั้น (M15 หรือ H1) หรือแบบระยะยาว (D1) แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจนหรือผันผวนสูง
  • สามารถใช้งานร่วมกันกับอินดิเคเตอร์หรือเทคนิคอื่น ๆ เพื่อยืนยันสัญญาณกลับตัวได้ เช่น RSI หรือ Price Action เป็นต้น 

——————–🐣——————–

Bollinger Squeeze คือ เทคนิคการใช้เส้น Upper Bands และ Lower Bands ที่บีบเข้าหากัน เพื่อตรวจสอบความผันผวนของตลาดที่ลดลง และรอสัญญาณการ Breakout เพื่อรอสัญญาณการเข้าออเดอร์ที่คุ้มค่าที่สุด

หลักการใช้งาน Bollinger Squeeze

  • สังเกตจุดที่เส้น Upper Bands และ Lower Bands เคลื่อนตัวบีบเข้าหากัน
  • รอสัญญาณการ Breakout ของราคา ด้วยเงื่อนไข ดังนี้
    • กรณีราคาทะลุเส้นบน (Upper Bands) หมายถึง สัญญาณเคลื่อนไปในทิศทางขาขึ้น แนะนำเปิดออเดอร์ Buy จะได้เปรียบกว่า
    • กรณีราคาทะลุเส้นล่าง (Lower Bands) หมายถึง สัญญาณเคลื่อนไปในทิศทางขาลง แนะนำเปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบกว่า
  • หากราคาเกิดการ Breakout และยังสามารถเคลื่อนตัวอยู่เหนือเส้นหรือใต้เส้นได้ (ขึ้นอยู่กับทิศทางที่เกิดการ Breakout) หมายความว่า เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง

หมายเหตุ : เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือหรือเทคนิคอื่น ๆ ร่วมกับยืนยันสัญญาณ Bollinger Squeeze เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ครับ

เทคนิค Bollinger Squeeze

ตัวอย่าง : จากรูป มีจุดที่เส้น Upper Bands และ Lower Bands บีบเข้าหากัน (Bollinger Squeeze) จากนั้น ราคาเกิดการ Breakout ที่เส้น Lower Bands เป็นสัญญาณการไปต่อในทิศทางขาลง แนะนำให้เทรดเดอร์เปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบกว่า และวาง SL เหนือ Swing High ล่าสุด เพื่อป้องกันความเสี่ยง

และเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคาในอนาคต เราจะใช้ RSI Indicator เข้ามาช่วยระบุจุดกลับตัว จากกรณีราคาเกิดภาวะการขายที่มากเกินไป (Oversold) ครับ

ข้อดีของเทคนิค Bollinger Squeeze

  • ระบุจุดเข้า-ออกออเดอร์ได้ค่อนข้างชัดเจน จับจังหวะง่าย ช่วยระบุแนวโน้มของทิศทางราคาในอนาคตได้
  • ใช้งานได้หลากหลาย Time Frame และใช้ได้กับทั้งสไตล์การเทรดแบบ Day Trade หรือ Swing Trade
  • ใช้งานร่วมกับอินดิเคเตอร์หรือเทคนิคอื่น ๆ เพื่อยืนยันสัญญาณได้ดี

——————–🐣——————–

ตารางเปรียบเทียบ Bollinger Bands และ อินดิเคเตอร์อื่น ๆ 

Indicatorจุดเด่นข้อจำกัดเทคนิคการใช้งานร่วมกับ Bollinger Bands
Bollinger Bandsมองเห็นความผันผวนของตลาดได้ชัดเจน
ใช้เป็นแนวรับ–แนวต้านแบบไดนามิก
จับสัญญาณ Breakout และ Bounce ได้
เกิดสัญญาณหลอกบ่อย โดยเฉพาะช่วงตลาด Sidewaysใช้คู่กับ Price Action เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว
หรือใช้ร่วมกับ RSI/MACD เพื่อดูแรงซื้อ–ขาย
RSI บ่งบอกสภาวะการซื้อขายในตลาดได้ชัดเจน
ใช้ระบุสัญญาณกลับตัว
ใช้งานค่อนข้างยากในตลาด Sideways
ใช้คู่กับ Bollinger Bands เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว
MACD ช่วยระบุแนวโน้มและทิศทางของเทรนด์ได้ดีการให้สัญญาณค่อนข้างช้าใช้ร่วมกับ Bollinger Bands เพื่อยืนยันการ Breakout และหาแนวโน้มของทิศทางในอนาคต
Stochastic Oscillatorระบุสภาวะ Overbought/Oversold ได้ดี
เหมาะกับตลาด Sideway
เกิดสัญญาณหลอกได้ง่าย กรณีที่ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจนและปริมาณการซื้อขายสูงใช้คู่กับ Bollinger Bands เพื่อยืนยันสัญญาณการกลับตัว

🐔 คำแนะนำจากทีมงาน Gotradehere : นอกจากอินดิเคเตอร์ Bollinger Bands แล้ว ยังมีอินดิเคเตอร์อื่น ๆ ที่เทรดเดอร์ควรศึกษาเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด โดยเราได้รวบรวมคู่มือการใช้งาน 10 อินดิเคเตอร์ยอดนิยมมาให้คุณได้ศึกษาเพิ่มเติมในบทความด้านล่างนี้แล้วครับ

Bollinger Bands ตั้งค่ายังไง ? 

สำหรับค่ามาตรฐานที่ใช้สำหรับการตั้งค่า มีดังนี้

  • Period: 20
  • Deviation: 2
  • สามารถปรับเพิ่ม/ลดได้ตามสไตล์เทรด เช่น เทรดสั้นอาจจะใช้ค่า 10 วัน หรือการตั้งค่าแบบมาตรฐานมักจะใช้ค่า 20 วัน

Bollinger Bands ใช้คู่กับอะไรดีที่สุด ? 

แนะนำให้ใช้ Bollinger Bands ควบคู่กับอินดิเคเตอร์ประเภท Momentum ซึ่งจะช่วยบอกภาวะการซื้อขายในตลาด และจะช่วยยืนยันสัญญานการกลับตัวได้ดี โดยอินดิเคเตอร์ที่ใช้งานกับ Bollinger Bands ได้ดี มีดังนี้ครับ

  • Relative Strength Index (RSI)
  • Stochastic Oscillator
  • Commodity Channel Index (CCI)

Bollinger Bands มีวิธีใช้ยังไง ? 

อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands มีวิธีการใช้งานที่สำคัญ ดังนี้ 

  • การใช้งานเส้น Upper Bands และ Lower Bands แทนเส้นแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก
  • การใช้ Bollinger Bands เพื่อดูความผันผวนของตลาด
  • การใช้ Bollinger Bands เพื่อดูแนวโน้มและทิศทางหลักของตลาด 

Bollinger Bands คือ อินดิเคเตอร์ประเภท Volatility Indicator ที่ใช้วัดความผันผวนของราคาในตลาด ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นขอบเขตของราคา หรือทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาในอนาคตได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Bollinger Bands ถือเป็นอีกหนึ่งอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่เทรดเดอร์ควรรู้และใช้งานให้เป็น โดยมีเทคนิคการใช้งานที่สำคัญ ดังนี้

  • การใช้งาน Bollinger Bands แทนเส้นแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก
  • เทคนิคการหาจุดเข้าออกด้วย Bollinger Squeeze
  • เทคนิคการหาจุดกลับตัวของราคาด้วย Bollinger Bounce 
  • การอ่านความผันผวนของตลาดผ่านเส้นอินดิเคเตอร์ที่หดหรือขยายตัว

อย่างไรก็ตาม อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands ไม่ได้ให้สัญญาณการเข้าเทรดหรือบอกแนวโน้มของราคาได้แม่นยำ 100% ดังนั้นแล้ว เทรดเดอร์จำเป็นต้องใช้งานอินดิเคเตอร์หรือเทคนิคการวิเคราะห์อื่น ๆ ควบคู่ไปกับการใช้งาน Bollinger Bands เพื่อเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพการวิเคราะห์ของคุณครับ


อ่านบทความเพิ่มเติม: Knowledge

อ่านรีวิวโบรกเกอร์อื่น ๆ ได้ที่: Review Broker

Table of Contents
TOP FOREX BROKERS
1
5/5

IUX

5/5
2
3/5
IC Markets
IC Markets-top-forex-brokers
IC Markets
4/5
3
4/5
FXGT.com
FXGT.com
4/5
4
3/5
Hantec Markets
Hantec Markets
3/5
5
4/5
Eightcap
Eightcap
3/5

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

– Advertisement –

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

FOLLOW US
บทความที่เกี่ยวข้อง

– Advertisement –