หลังจากที่ราคา Bitcoin ร่วงแตะระดับ $38,000 ในช่วงเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มลดลง และดัชนี Crypto Fear and Greed บ่งชี้ว่าตลาดคริปโตกำลังอยู่ในโหมด “กลัวสุดขีด” หรือ “Extreme Fear”
ดัชนีความโลภและความกลัวหรือ Crypto Fear and Greed เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินอารมณ์ของตลาดที่มีอิทธิพลต่อนักลงทุนในการซื้อ Bitcoin โดยจะแบ่งอารมณ์ออกเป็น 3 อารมณ์หลัก ๆ ได้แก่ ความโลภ, ความกลัว และความเป็นกลาง
ข้อมูลจาก Crypto Fear and Greed เผยให้เห็นว่า ระดับความกลัวสุดขีดอาจเป็นสัญญาณที่นักลงทุนเริ่มกังวลมากเกินไป และอาจหมายถึงโอกาสในการเข้าซื้อในราคาถูก แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อนักลงทุนโลภเกินไป ก็เป็นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเตรียมกลับตัวไปสู่ช่วงขาลง

ราคาที่ปรับฐานอย่างรุนแรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้นักวิจารณ์ Crypto บางคนเชื่อว่าตอนนี้ตลาดหมีได้อยู่กับเราแล้ว
Low timeframe bias: bullish to 43k-44k ✅
— il Capo Of Crypto (@CryptoCapo_) February 20, 2022
Low/mid timeframe bias: bearish to 38k-39k ✅
Mid timeframe bias: bearish to sub 30k (21k-23k likely) ⌛ https://t.co/4y6JQdjZlV pic.twitter.com/lZoYrhthDh
ในขณะเดียวกันแฟนพันธ์ุทองคำอย่างนาย Peter Schiff ก็ได้ฉวยโอกาสนี้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึง ความล้มเหลวของ Bitcoin ที่ไม่สามารถเก็บรักษามูลค่าได้ท่ามกลางวิกฤตภาวะเงินเฟ้อ พร้อมชี้ให้เห็นว่าทองคำเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
Not only is #Bitcoin back below $40K, but YOY it's down close to 30%. Many Bitcoin pumpers have criticized #gold for its failure to keep pace with #inflation. While gold has not kept pace with the 7.5% YOY rise in the #CPI either, with a 6% YOY gain it's much closer than Bitcoin!
— Peter Schiff (@PeterSchiff) February 19, 2022
อย่างไรก็ตามด้านนาย ผู้ก่อตั้ง Ethereum นาย Vitalik Butin กล่าวว่า ตลาดขาลงนั้นถือเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อวงการคริปโตในระยะยาว พร้อมกันนี้เขายังกล่าวด้วยว่า ผู้ที่เชื่อมั่นในตลาดที่แท้จริงนั้นควรที่จะเปิดใจยอมรับตลาดหมี :
“พวกเขาควรยินดีกับตลาดหมี เพราะเมื่อมีช่วงเวลาอันยาวนานของราคาที่ขยับขึ้นด้วยปริมาณมหาศาลเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันทำให้ผู้คนจำนวนมากมีความสุข แต่ก็มีแนวโน้มที่จะชวนให้มีการเก็งกำไรในระยะสั้นจำนวนมากเช่นกัน”
Buterin คาดการณ์ว่า โปรเจกต์สาย ‘กาว’ ต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะตายลงในช่วงตลาดหมี และจะมีเพียงโครงการที่ยั่งยืน (ในแง่ของโครงสร้าง ทีม และชุมชน) เท่านั้นที่จะอยู่รอดและฝ่าฟันพายุโหมกระหน่ำนี้ไปได้ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดคริปโตนั่นมีความยั่งยืนในระยะยาว