CeFi คือ อะไร? ระบบการเงินแบบนี้มีประโยชน์อย่างไร?

List of Contents
Cefi

ในอดีตนั้น มุมองของผู้คนที่มีต่อระบบการเงินจะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือ ระบบการเงินแบบรวมศูนย์อำนาจ (CeFi) และระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักเกี่ยวกับ Cefi ว่าคืออะไร? ข้อดีของ Cefi คือ อะไร? และมีความแตกต่างจาก Defi อย่างไร

Cefi คือ อะไร?

Cefi ย่อมาจาก Centralized Finance คือ ระบบการเงินแบบศูนย์รวมอำนาจ ซึ่งคำสั่งทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยหน่วยแลกเปลี่ยนตัวกลางเดียว ซึ่งไม่มีการแข่งขันกัน และระบบนี้จะมีเป้าหมายคือ เพื่อการดำเนินการทางการค้าที่เป็นธรรมที่สุดและเพื่อให้คำสั่งซื้อทั้งหมดถูกส่งผ่านตัวกลางการแลกเปลี่ยน คือ ราคาที่ถูกระบุไว้ในการแลกเปลี่ยนกลาง ถือเป็นราคาเดียวสำหรับผู้ซื้อนั่นเอง

ในปัจจุบันระบบทางธุรกรรมการเงินของคุณมีการรวมศูนย์ระดับสูง โดยสถาบันภาครัฐจะมีการตีพิมพ์และควบคุมสกุลเงินกระดาษผ่านธนาคาร โดยธนาคารนั้น จะมีอำนาจในการควบคุมบัญชีของเรา และยังสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการบริการได้อีกด้วย

ข้อดีของ Cefi

  • ทำให้เกิดการค้าที่เป็นธรรม โดยมีการซื้อ-ขายผ่านการแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ ก็คือ ผ่านตัวกลางนั่นเอง
  • มีความยืดหยุ่นในการแปลงรูปแบบของเงิน เช่น การเปลี่ยนเงินกระดาษไปเป็นสกุลเงินดิจิทัล
  • เป็นที่นิยมมากกว่าระบบการเงินอย่าง Defi
  • CeFi มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า DeFi เพราะมีการใช้งานแพลตฟอร์ม CeFi กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น Binance, Coinbase และ Diem 
  • มีการรองรับเหรียญที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม Blockchain

ความแตกต่างระหว่าง Cefi และ Defi

Defi คือ อะไร?

Defi ย่อมาจาก Decentralized Finance เป็นระบบการเงินรูปแบบใหม่ ที่ทำให้คุณสามารถทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งการโอน กู้ยืม จำนอง การให้ดอกเบี้ย รวมถึงการลงทุนในตลาดเงิน โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นสถาบันการเงิน แต่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ที่ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูล ดังนั้น จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง

ความแตกต่างของทั้งสองระบบ

Cefi เป็นระบบการเงินแบบศูนย์รวมอำนาจ ซึ่งคำสั่งทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยหน่วยแลกเปลี่ยนตัวกลางเดียว ส่วน Defi เป็นระบบการเงินแบบที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นสถาบันการเงิน แต่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ที่ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูล และ Cefi ยังอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ไม่เหมือน Defi ที่เป็นอิสระ แต่ Defi ยังคงมีความเสี่ยงมากกว่าในแง่ที่หากแพลตฟอร์มปิดตัวลง จะไม่สามารถตามหาตัวหรือร้องเรียนกับใครได้

อย่างไรก็ตาม กระแสการลงทุนในยุคนี้ถือว่ามาแรงมากๆ หากใครกำลังสนใจการลงทุน สิ่งที่ควรคำนึงถึงเลยคือ การเลือกโบรกเกอร์ ที่มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์นักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น ต้องเป็นโบรกที่สามารถเทรดได้หลากหลายตลาด, มีการฝากเงินที่รวดเร็ว, ค่า Commission ต่ำ เป็นต้น


อ่านบทความเพิ่มเติม: Knowledge

อ่านรีวิวโบรกเกอร์อื่น ๆ ได้ที่: Review Broker

อ่านรีวิว Exchange อื่น ๆ ได้ที่: Crypto Exchanges

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม: News

bitcoin
Bitcoin อาจขึ้นไปแตะ $45,000 จาก ‘ปัจจัย’ เหล่านี้ ?!

นักวิเคราะห์ JPMorgan ได้ออกมาเผยถึงปัจจัยที่จะดันให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้น โดยเผยว่าหาก BTC เริ่มทำราคาและโครงสร้างการลงทุนที่มีความคล้ายคลึงกันกับทองคำมากขึ้น อาจจะส่งผลให้ราคาของ Bitcoin

สหรัฐฯ
สหรัฐฯ เจรจา “เพิ่มเพดานหนี้” สำเร็จ! รอดภาวะถังแตกแบบฉิวเฉียด

รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ที่อ้างอิงจากแหล่งข่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน กับประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เควิน แมคคาร์ธี ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการปรับเพิ่มเพดานหนี้1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไปเมื่อวันที่ 27