Earnings Per Share หรือ EPS เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่จะเปรียบเทียบระหว่างกำไรสุทธิและจำนวนหุ้นที่บริษัทชำระแล้ว หรือเรียก EPS ง่าย ๆ ว่ามันคือ กำไรต่อหุ้น นั่นเอง
วิธีการคำนวณ EPS
กำไรต่อหุ้น EPS = กำไรสุทธิ/จำนวนบริษัทที่ชำระแล้ว (บาท/หุ้น)
ตัวอย่างการคำนวณ Earnings Per Share หรือ กำไรต่อหุ้น
บริษัท A ทำกำไรสุทธิได้ 63,000 บาท และมีจำนวนหุ้นบริษัทที่ชำระแล้วในตลาดเท่ากับ 100 หุ้น คำนวนกำไรต่อหุ้นได้ดังนี้
กำไรต่อหุ้น = 63,000/100 บาท/หุ้น = 630 บาทต่อหุ้น นั่นเอง
แล้ว EPS สำคัญอย่างไร?
พูดง่าย ๆ ว่า ยิ่ง EPS สูง ก็ยิ่งดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีกำไรสุทธิที่สูง ในทางกลับกัน หาก EPS ต่ำ ก็แสดงว่า บริษัททำกำไรได้ต่ำนั่นเอง แต่การดู EPS ก็มักจะถูกใช้เพื่อเปรียบเทียบกับ EPS ในอดีตของตนเองเท่านั้น และไม่สามารถที่จะนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันได้
ยกตัวอย่างประโยชน์ของ EPS
หากนักลงทุนเลือกจะลงทุนในบริษัทน้ำดื่ม ซึ่งแน่นอนว่า มีอยู่หลายบริษัทเลยทีเดียว และผู้ลงทุนทำการเปิดงบการเงินมาเทียบกันด้วยกำไรสุทธิแล้ว การเปรียบเทียบนั้นก็อาจผิดพลาดได้ หากดูแค่กำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว
บริษัทน้ำดื่ม A
มีกำไรสุทธิ 30,000 บาท
มีหุ้นที่บริษัทชำระแล้ว 10,000 บาท
บริษัทน้ำดื่ม B
มีกำไรสุทธิ 60,000 บาท
มีหุ้นที่บริษัทชำระแล้ว 40,000 บาท
หากดูเพียงกำไรสุทธิแล้ว บริษัทน้ำดื่ม B อาจจะทำให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนในบริษัท B แต่ลองสังเกตอีกทีว่า บริษัทน้ำดื่ม B มีจำนวนหุ้นที่บริษัทชำระแล้วมากกว่าบริษัทน้ำดื่ม A อยู่ 30,000 หุ้น นั่นหมายความว่า หากเราซื้อหุ้นบริษัท B ไปแล้ว แม้ว่าบริษัทจะทำกพไรได้มาก แต่ก็มีคนได้ส่วนแบ่งไปมากเช่นกัน ดังนั้น เราจึงต้องใช้ EPS เข้ามาช่วยคำนวณเพื่อดูกำไรต่อหุ้นนั่นเอง
กำไรต่อหุ้น บริษัทน้ำดื่ม A = 30,000/10,000
= 3 บาทต่อหุ้น
กำไรต่อหุ้น บริษัทน้ำดื่ม B = 60,000/40,000
= 1.5 บาทต่อหุ้น
เพื่อน ๆ เห็นไหมครับว่า เมื่อเราวิเคราะห์และคำนวณ EPS หรือกำไรต่อหุ้นของทั้งสองบริษัทแล้ว บริษัทน้ำดื่ม A มีกำไรต่อหุ้นที่มากกว่าบริษัทน้ำดื่ม B เท่าตัวเลยและหวังว่า บทความนี้จะสามารถช่วยให้เพื่อน ๆ ที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนในหุ้นต่าง ๆ ได้ลองไปปรับใช้ดูนะครับ
———————————————————————————————————————————————————————————————
อ่านบทความเพิ่มเติม: Knowledge, Traderbobo